top of page

ความยุติธรรมในมุมมองของพุทธศาสตร์

ความยุติธรรมในมุมมองของพุทธศาสตร์ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. (2555)
โครงการปริญญาโท หลักสูตรสันติศึกษา


เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมารับนิมนต์จาก ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (NIDA) ไปปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความยุติธรรมในมุมมองของพุทธศาสตร์” การจัดงานวันนี้เป็นการจัดงานเนื่องในวันเกิดครบ ๒ ขวบคณะนิติศาสตร์ โดยมี ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส พร้อมด้วยคณาจารย์ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาร่วมฟังกว่า ๑๐๐ ท่าน เพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเชิงวิชาการต่อไป จึงถือโอกาสนี้สรุป และนำเสนอเป็นบทความสั้น ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

บทนำ

ความยุติธรรมเป็นตัวแปรสำคัญประการหนึ่งในการที่จะเชื่อมสมานกลุ่มคน หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แต่เมื่อใดก็ตามที่สังคมตั้งคำถาม หรือสงสัยต่อความยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการให้คำนิยาม หรือความหมายต่อความยุติธรรม และการนำความยุติธรรมไปใช้ในมิติต่างๆ เช่น ความยุติธรรม ทางเศรษฐกิจ การเมือง เมื่อนั้น สถานการณ์ความไม่วางวางใจ (Trust) ความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันมักจะเกิดการติดขัด และผลกระทบที่จะเกิดตามมาคือ ความสัมพันธ์ (Relationship) ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างกันคนต่างๆ ในสังคม ดังที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้ย้ำเตือนในประเด็นนี้ว่า“หากสังคมไร้ซึ่งความยุติธรรมจะก่อให้เกิดความทุกข์ ความขัดแย้ง การเสียกำลังใจ และนำไปสู่วิกฤติด้านต่าง ๆ รวมทั้งวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่ ฉะนั้น ความยุติธรรมในสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่เท่าที่ผ่านมา สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยเกินไป หลักฐานประการหนึ่งที่สามารถยืนยันบทสรุปของ ศ.นพ.ประเวศ วะสีชี้ว่า เท่าที่ผ่านมา สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับความยุติธรรมน้อยเกินไปนั้น เราอาจจะประเมินได้จากตัวเลขล่าสุดที่โครงการยุติธรรมโลก (The World Justice Project) ได้ จัดอันดับให้ไทยอยู่ในอันดับที่ ๘๐ จาก ๙๗ประเทศ ที่เสริมสร้างความยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ตามรายงานดัชนีหลักนิติธรรม ๒๐๑๒ (Rule of Law Index 2012) จะเห็นว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่าน กลุ่มคนต่างๆ มักจะตั้งคำถามต่อความยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรมทางกฎหมาย และความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งการตั้งคำถามต่อความยุติธรรมนั้น มักจะสัมพันธ์กับ “คน” ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ผู้เขียนมองว่า ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คำถามในลักษณะดังกล่าว อาจจะเกิดจากการที่กลุ่มคนต่างๆ ไม่เข้าใจแก่นแท้ของความยุติธรรมอย่างรอบด้าน

บทความนี้ จึงให้ความสนใจต่อประเด็นเกี่ยวกับ “ความหมายที่แท้จริงของความยุติธรรม” เพราะส่วนตัวมีสมมติฐานว่า “การที่กลุ่มคนเข้าใจ หรือมีมโนทัศน์เกี่ยวกับความยุติธรรมที่แตกต่างกัน ย่อมนำไปสู่การวางท่าที และการปฏิบัติที่แตกต่างกันเช่นเดียวกัน” หากเป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้กลุ่มคนต่างๆ เกิดความขัดแย้ง และนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด


ความยุติธรรม: อะไร และอย่างไร

กลุ่มนักคิดตะวันตกมักจะให้ความหมายเกี่ยวกับความยุติธรรมค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันว่า “Justice is a concept of moral rightness based on ethics, rationality, law, natural law, religion or equity.” แปลว่า “ยุติธรรมเป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความถูกต้องทางศีลธรรม ที่สัมพันธ์จริยธรรม เหตุผล กฎหมาย กฎธรรมชาติ ศาสนา และความเสมอภาค

ความยุติธรรมซึ่งเป็นความถูกต้องทางศีลธรรมในบริบทนี้ อาจจะอธิบายได้ ๒ ความหมายหลัก คือ ความถูกต้องของการอยู่ร่วมกันในสังคมของกลุ่มคนต่างๆ อย่างเสมอภาค และการการอยู่ร่วมกันดังกล่าวจะต้องสอดรับกับเหตุผล และความเป็นจริงตามหลักศีลธรรม และจริยธรรมทางศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสอดรับกับกฎธรรมชาติ ในอีกมิติหนึ่ง ความยุติธรรมจำเป็นต้องอยู่บนฐานของศีลธรรม ซึ่งศีลธรรมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอดรับกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มิฉะนั้น สังคมมนุษย์จะไม่สามารถหาหลักอ้างอิงว่า จะเทียบเคียงกับกฎเกณฑ์อันใด เพราะมนุษย์แต่ละคนล้วนมีแง่มุมหรือการนิยามที่แตกต่างกันตามประสบการณ์ และมุมมองของตัวเอง

เมื่อวิเคราะห์แง่มุมความหมายของ “ความยุติธรรม” ในบริบทของสังคมไทย ราชบัณฑิตสถานได้คำจำกัดความว่า “น. ความเที่ยงธรรม, ความชอบธรรม, ความชอบด้วยเหตุผล ว. ความเที่ยงธรรม, ความไม่เอนเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่ง, ชอบด้วยเหตุผล” คำถามมีว่า ราชบัณฑิตยสถานได้ใช้ฐานคิดอะไร จึงนำไปสู่การแปลคำว่า “Justice” ออกมาเป็นความหมายในลักษณะดังกล่าว แต่จากการวิเคราะห์รูปศัพท์โดยละเอียดแล้ว ทำให้พบประเด็นคำตอบที่น่าสนใจว่า “พื้นฐานสำคัญของการแปลดังกล่าวนั้น ราชบัณฑิตยสถานได้นำคำศัพท์ของพระพุทธศาสนามาเป็นกรอบในการให้คำจำกัดความและอธิบายความ” ดังจะอธิบาย และนำเสนอเหตุผลโดยละเอียดในข้อถัดไป


ความยุติธรรมในพระพุทธศาสนา

“ความยุติธรรม” ในมุมมองของพระพุทธศาสนาจัดได้ว่าเป็น “คุณธรรม” ประการหนึ่งที่สัมพันธ์กับประเด็นเรื่อง “อารมณ์” (Emotion) เมื่อนำคำว่า “Justice” ซึ่งราชบัณฑิตแปลเป็นภาษาไทยว่า “ยุติธรรม” ไปเทียบเคียงกับคำศัพท์ในภาษาบาลี จะพบประเด็นที่น่าสนใจว่า โดยศัพท์นั้น ไม่มีคำว่ายุติธรรมปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแบบตรงตัว คำถามมีว่า “พระพุทธศาสนาไม่ได้ให้ความสนใจ และใส่ใจต่อความยุติธรรมใช่หรือไม่? จึงไม่ได้บัญญัติคำศัพท์เหล่านี้เอาไว้ในคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา

อย่างไรก็ดี เมื่อวิเคราะห์คำว่า “ยุติธรรม” แบบแยกศัพท์เป็น “ยุติกับธรรม” จะพบว่า ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาได้อธิบายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ยุติ” มาจากคำว่า “ยุตติ” ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า “ชอบ” หากนำไปผสมกับคำว่า “ยุติธรรม” สามารถแปลได้ว่า “ความชอบธรรม” ในขณะเดียวกัน ยุตติตามที่ปรากฏในอรรถกถาสุมังคลวิลาสินีนั้น แปลว่า “ข้อสรุป หรือข้อตกลง” หมายถึง “สิ่งที่นำไปสู่ข้อสรุป และข้อตกลง” หรือ “ข้อข้อสรุป หรือข้อตกลงที่เป็นธรรม หรือโดยชอบ” จะเห็นว่า “ยุติ” แต่ละแห่งมีนัยที่ครอบคลุมถึงความหมายที่ “เลิกแล้วต่อกัน” หรือ “จบถ้วนกระบวนความ” ดังนั้น คำว่า “ยุติธรรม” สามารถแปลว่าได้ว่า “ธรรมที่นำไปสู่ข้อสรุป หรือข้อตกลง ซึ่งจะก่อให้เกิดบรรยากาศของการเลิกแล้วต่อกัน หรือจบถ้วนกระบวนความ” หรืออาจจะแปลโดยความว่า “การตกลงโดยอาศัยธรรม หรือยุติโดยอิงอาศัยธรรม” แนวทางนี้สอดรับกับหลักการในอัคคัญสูตรที่มหาชนพากันเรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่โดยการสร้างความพอใจให้แก่ประชาชนโดยธรรมว่า “ราชา” ซึ่งการสร้างความพอใจตามหลักทศพิธราชธรรมข้อที่ ๑๐ นั้น มีนัยที่ชี้ไปถึงการตัดสิน และแบ่งปันผลประโยชน์แก่กลุ่มคนต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเที่ยงธรรมโดยปราศจากอคติ

สรุปแล้ว “ความยุติธรรม” ในโลกทัศน์ของพระพุทธศาสนาจะสามารถเทียบเคียงคำว่ายุติธรรมใน ๒ ความหมายใหญ่ๆ คือ

(๑) ยุติธรรมในความหมายของวินัย หมายถึง “ความชอบธรรม” หรือ “ประกอบด้วยธรรม” บาลีใช้คำว่า “ธัมมิกะ” โดยในวินัยกล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินหลักอธิกรณ์ หรือความขัดแย้ง โดยให้ใช้วิธีการที่ชอบธรรม หรือวิธีเป็นธรรมแก่คู่กรณี โดยผู้ตัดสินต้องเป็นบุคคลที่เป็นธรรม หรือชอบธรรม (ธัมมิกบุคคล) คำนี้ จะสอดรับกับคำว่า “Rightness” ในภาษาอังกฤษมากที่สุด เพราะหากจะเทียบเคียงแล้ว วินัยของพระภิกษุมีลักษณะเดียวกันกับกฎหมายที่ใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติของบุคคลทั่วไปในสังคม

(๒) ยุติธรรมในความหมายของพระสูตร หมายถึง “ความเที่ยงธรรม” หรือ “ความไม่คลาดเคลื่อนจากธรรม” (อวิโรธนะ) ซึ่งเป็นทศพิธราชธรรมข้อที่ ๑๐ โดยหลักธรรมชุดนี้เป็นหลักการสำคัญสำหรับนักปกครองที่มีหน้าที่สำคัญในการทำให้บุคคลอื่น หรือผู้ใต้ปกครองพึงพอใจ (ราชา) ความเที่ยงธรรมในบริบทนี้ หมายถึง ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ ด้วยความอคติ จะเห็นว่า การขาดความยุติธรรม หรือเที่ยงธรรมเป็นผลอันเนื่องมาจากสภาพจิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งคลาดเคลื่อนจากธรรม คือ เที่ยงธรรมด้วยอิทธิพลของอคติ ยิ่งเข้าใกล้ความยุติธรรมตามกฎธรรมชาติ ยิ่งใกล้ความยุติธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม

จากการให้คำจำกัดความในลักษณะดังกล่าว คำว่า “ยุติธรรม” ในความหมายของพระพุทธศาสนาจึงหมายถึง “ความชอบธรรม และความเที่ยงธรรม” แต่การจัดวางคำว่า “เที่ยงธรรม” เอาไว้เป็นเบื้องต้นนั้น หากมองในเชิงสังคมวิทยา ความเที่ยงธรรมเป็นตัวแปรสำคัญที่จะนำไปสู่ความชอบธรรม หรือข้อตกลงที่เป็นธรรมของกลุ่มคนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข

ถึงกระนั้น ความยุติธรรมกินความได้สองความหมาย คือ “ความยุติธรรมตามกฎเกณฑ์ทางสังคม” กับ “ยุติธรรมตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ” ซึ่งความยุติธรรมตามกฎเกณฑ์ของสังคมเป็นระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในฐานะเป็นสัตว์สังคมได้สร้างขึ้นโดยการเห็นพ้องต้องกัน อาจจะเป็นการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มคนที่มีอำนาจ หรือการมีฉันทามติร่วมกันของคนกลุ่มใหญ่ก็ตาม ซึ่งการออกแบบกฎเกณฑ์ดังกล่าว อาจจะสอดรับกับวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ ค่านิยม ลัทธิ และศาสนา