ในฐานะ “พลเมืองคนหนึ่ง” นั่งมองสถานการณ์ “บ้านเมือง” บ้านเมืองที่ตัดสินใจใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเครื่องมือในการบริหารบ้านเมืองมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ บ้านเมืองที่ไม่ใช่สมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด หากเป็นสมบัติของประชาชนที่เป็นเจ้าของอธิปไตย โดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาอ้างสิทธิ์ หรือผูกขาดบ้านเมืองเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ความขัดแย้งและเห็นต่างทางความคิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ น่ารังเกียจ และน่าสะพรึงกลัว หากแต่ความขัด หรือแย้งนับเป็นเสน่ห์ และความงดงามต่อการอยู่ร่วมกันของประชาชนในระบอบนี้ ดังนั้น ต้องเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคน หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และแสดงออกในทุกจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสม การกระทำการ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อปิดพื้นที่ไม่ให้คู่กรณีได้ “ระบายอารมณ์และความรู้สึก” นั้น จะนำไปสู่ “การระเบิดครั้งใหญ่” อันเกิดจากแรงอัดอย่างน่าสะพรึงกลัว!!!
Comentários